หน้าแรก  »  บทความสุขภาพ  »  การนอนหลับ หัวใจสำคัญของสุขภาพและฟื้นฟูร่างกาย

การนอนหลับ หัวใจสำคัญของสุขภาพและฟื้นฟูร่างกาย

การนอนหลับ หัวใจสำคัญของสุขภาพและฟื้นฟูร่างกาย

การนอนสำคัญไฉน

ร่างกายคนเราเป็นเสมือนเครื่องจักรที่ต้องทำงาน 24 ชั่วโมง การนอนเหมือนกับให้เครื่องจักรได้หยุดพัก ร่างกายจะอาศัยช่วงเวลานอนหลับซ่อมแซมและพักฟื้นตนเอง ปรับปรุงระบบต่างๆ ในร่างกายให้มีประสิทธิภาพ เสริมสร้างความจำของสมองและขับของเสีย พร้อมทั้งสะสมพลังงานเพื่อใช้ในวันรุ่งขึ้น การนอนจัดเป็นส่วนที่ขาดเสียไม่ได้ของชีวิต คนเราจึงต้องใช้เวลา 1 ใน 3 ของชีวิตในการนอน

การนอนหลับอย่างเพียงพอทั้งด้านระยะเวลาและคุณภาพการนอนหลับ(หลับลึก) จะเป็นหลักประกันสำคัญต่อการมีสุขภาพกายและใจที่ดี อีกทั้งยังเป็นด่านแรกของการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วงที่นอนหลับ ร่างกายหลั่งฮอร์โมนสำคัญหลายชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone, GH) มากกว่าช่วงที่ไม่นอนถึง 3 เท่า ซึ่งมีผลสำคัญต่อการเจริญเติบโตและกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย นอกจากนี้ การนอนหลับในแต่ละช่วงเวลามีความสำคัญต่างกันต่อสุขภาพ อาทิ:

  • การนอนหลับในช่วง 3ทุ่ม ~ 5ทุ่ม จะช่วยให้ระบบน้ำเหลืองขับของเสียได้ดีขึ้น พร้อมทั้งเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น
  • การหลับสนิทในช่วง 5 ทุ่ม ~ ตี 1 จะช่วยให้ตับขับของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระตุ้นให้เซลล์ผิวซ่อมแซมตัวเองและมีการผลัดเซลล์ใหม่ซึ่งจะเร็วกว่าปกติถึง 8 เท่า
  • การนอนหลับในช่วงเที่ยงคืน ~ ตี 4 จะกระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดงอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การนอนหลับในช่วงตี 1 ~ ตี 3 จะกระตุ้นให้ถุงน้ำดีขับพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การหลับสนิทในช่วงตี 3 ~ ตี 5 จะส่งเสริมให้ปอดขับพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ฉะนั้น การนอนไม่หลับเป็นประจำหรือคุณภาพการนอนหลับไม่ดีเท่าที่ควรจะส่งผลกระทบต่อทุกๆ ระบบของร่างกาย ทำให้แก่ก่อนวัยและเพิ่มความเสี่ยงต่อหลายๆ โรค เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน ความจำเสื่อม โรคซึมเศร้า เป็นต้น

อย่างไรจึงเรียกว่านอนไม่หลับ

คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่านอนไม่หลับหมายถึงตาค้าง กระสับกระส่ายอยู่บนที่นอน แต่จริงๆ แล้วนอนไม่หลับเป็นภาวะที่นอนไม่พอและยังหมายรวมถึงอาการดังนี้:

  • หลับยาก: ใช้เวลามากกว่า 30 นาทียังไม่หลับ
  • หลับไม่ลึก: ระยะเวลาการนอนหลับลดลง
  •  ตื่นบ่อย: ตอนกลางคืนตื่นเกินกว่า 2 ครั้ง และหลับต่อยาก
  • ตื่นเช้าเกิน: เมื่อตื่นแล้วรู้สึกไม่สดชื่น
  • ฝันบ่อย: รู้สึกตนเองฝันอยู่ทั้งคืน
  • ตื่นง่าย: มีเสียงหรือแสงรบกวนเพียงนิดเดียวก็จะตื่น
  • คุณภาพการนอนไม่ดี: เวลานอนเพียงพอ แต่ตื่นขึ้นมารู้สึกไม่สดชื่น
  • อ่อนเพลียในวันรุ่งขึ้น: ง่วงเมื่อเวลาทำงาน รู้สึกมึนๆ งงๆ สมองไม่ปลอดโปร่ง

อาการนอนไม่หลับอาจเกิดขึ้นชั่วคราวในบางช่วงของชีวิต เช่น มีเรื่องเครียดๆ อาการเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจ ผลข้างเคียงจากการใช้ยา เป็นต้น เมื่อสาเหตุของการกระตุ้นหมดไป อาการนอนไม่หลับมักจะหายไปเองได้ แต่ถ้ามีอาการเกิน 1 เดือนให้ถือว่าเป็นอาการนอนไม่หลับชนิดเรื้อรัง ควรหาสาเหตุและรักษาอย่างจริงจัง

รู้ได้อย่างไรว่านอนไม่พอ…

ความต้องการในการนอนของแต่ละคนไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ อายุ สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตและพันธุกรรม เมื่อระยะเวลาหรือคุณภาพของการนอนไม่สอดคล้องกับความต้องการของร่างกาย ร่างกายก็จะส่งสัญญาณหลายๆ อย่างถึงเรา อาทิ:

  • รู้สึกอ่อนเพลียทั้งวันและงีบหลับในระหว่างวันบ่อยๆ
  • เวลาทำงานมีอาการง่วงเหงาหาวนอน ขาดสมาธิหรือมึนๆ งงๆ ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • อารมณ์แกว่ง โกรธง่ายโดยไม่มีสาเหตุเพียงพอ
  • หลับภายใน 5 นาทีหลังจากนอน
  • บางคนอาจหลับขณะตื่นโดยไม่รู้ตัว

การนอนชดเชยในวันหยุด…ชดเชยได้จริงหรือ

การเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมและวิถีชีวิตในปัจจุบันทำให้คนเราต้องเบียดเวลานอนไปกับกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูทีวี เล่นคอมพิวเตอร์ ทำงานหรือการสังสรรค์ ทำให้คนส่วนใหญ่ประสบปัญหานอนไม่พอและมักจะแก้ไขด้วยวิธีการนอนชดเชยในวันหยุด แต่หารู้ไม่การนอนชดเชยในลักษณะเช่นนี้ไม่อาจไปพื้นฟูร่างกายจากผลกระทบของการนอนไม่พอที่สะสมเรื่อยมา อีกทั้งยังไปทำให้นาฬิกาชีวิตเกิดความสับสน ซึ่งจะส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สดชื่นในวันรุ่งขึ้นและยังเป็นต้นเหตุของหลายๆ โรคด้วย

การใช้ยานอนหลับมีอันตรายอย่างไร…

เมื่อนอนไม่หลับหนักๆ เข้าหลายๆ คนก็จะนึกถึงยานอนหลับ ถึงแม้ว่ายานี้จะเป็นยาพื้นฐานในการบรรเทาอาการนอนไม่หลับของการแพทย์ตะวันตกก็ตาม แต่ไม่ใช่ทางออกที่ดีและปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย ทั้งนี้ เนื่องจากยานอนหลับไม่ได้รักษาต้นเหตุของอาการ อีกทั้งยังมีอันตรายหลายอย่างที่จะตามมา อาทิ:

  • ดื้อยา: การใช้ยานอนหลับขนาดเดิมติดต่อกันระยะหนึ่งแล้ว ทำให้นอนหลับได้น้อยลงจึงต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นเรื่อยๆ จนได้รับสารพิษจากยา
  • เสพติด: เมื่อใช้ยาติดต่อกันระยะหนึ่งแล้วหยุด อาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับขึ้นอีกจนต้องกลับมาใช้ยาต่อเป็นประจำทุกวันเพื่อให้นอนหลับ
  • ถอนยา: ถ้าไม่ได้รับประทานยาจะรู้สึกกระสับกระส่าย ไม่สามารถอยู่นิ่งได้ ต้องเดินไปเดินมา เกิดอาการนอนไม่หลับอย่างรุนแรงยิ่งกว่าตอนแรก
  • อารมณ์สับสน: อาจมีอาการก้าวร้าว ฉุนเฉียว เหม่อลอยหรือซึมเศร้าตามมา
  • ความจำเสื่อม: ขาดสมาธิ มีปัญหาความจำเสื่อมทั้งระยะสั้นและระยะยาว

การแพทย์จีนมีวิธีบำบัดอย่างไร…

ในทัศนะการแพทย์จีน สภาวะการนอนหลับขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ภาวะหยิน-หยางภายในร่างกาย ความแกร่ง-พร่องของพลังชี่และเลือด ความสัมพันธ์ในการทำงานของอวัยวะสำคัญภายในร่างกายหัวใจ ตับ ไต ม้าม เป็นต้น อาการนอนไม่หลับจึงมีสาเหตุที่ต่างกัน ส่วนสาเหตุที่พบบ่อยได้แก่:

  • ไตกับหัวใจทำงานไม่สัมพันธ์กัน

หยางหรือความร้อนในหัวใจจะต้องลงไปที่ไตและไตจะต้อง ส่งหยินหรือความเย็นขึ้นไปหล่อเลี้ยงหัวใจเพื่อไม่ให้หัวใจรุ่มร้อน เมื่อไตอ่อนแอลง จะไม่สามารถส่งความเย็นไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้อย่างเพียงพอ หัวใจก็จะรุ่มร้อนทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ นอกจากนี้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังมักจะมีอาการกระวนกระวาย อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ หูอื้อ ปวดเมื่อยตามร่างกายและปัสสาวะบ่อยร่วมด้วย อาการนอนไม่หลับจากไตและหัวใจทำงานไม่สัมพันธ์กันมักจะบำบัดด้วยวิธีบำรุงไต

  • เส้นลมปราณตับติดขัด

ตับเป็นศูนย์บัญชาการระบายพลังชี่ให้กระจายไปสู่ทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ตับและอวัยวะอื่นๆ ทำงานได้อย่างราบรื่น หากความสามารถในการระบายพลังชี่ของตับลดลง พลังชี่ก็จะถูกอั้นไว้ในตับ ทำให้เส้นลมปราณตับสะดุดและติดขัด นานๆ เข้า ตับก็จะรุ่มร้อนทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ นอกจากนี้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังมักจะมีอาการขี้หงุดหงิด โกรธง่าย รู้สึกปวดหรือแน่นบริเวณชายโครง ท้องอืดท้องเฟ้อและเรอบ่อยร่วมด้วย อาการนอนไม่หลับจากเส้นลมปราณตับติดขัดมักจะบำบัดด้วยวิธีการระบายพลังชี่ในตับให้กระจายไปสู่ทั่วทั้งร่างกาย

  • ภาวะเลือดคั่ง

เมื่อเลือดและพลังชี่ในร่างกายขาดความสมดุลก็จะเกิดภาวะเลือดคั่ง ทำให้เกิดความผิดปกติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบการไหลเวียนของเลือดภายในร่างกาย นอนไม่หลับจากภาวะเลือดคั่งมักจะเป็นชนิดเรื้อรัง และสิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนคือ เส้นเลือดดำใต้ลิ้นของผู้ป่วยจะขอดใหญ่ขึ้นและเป็นสีน้ำเงินหรือสีม่วงคล้ำ มีเส้นเลือดฝ่อยแตกแขนงมากขึ้น หรือใต้ลิ้นมีตุ่มสีดำคล้ำๆ ทั้งนี้ เนื่องจากเลือดไหลเวียนช้าลงและมีความข้น ความหนืดมากเกินไป ทำให้เส้นเลือดโป่งพองและสีคล้ำลง อาการนอนไม่หลับจากภาวะเลือดคั่งมักจะบำบัดด้วยวิธีการสลายเลือดคั่งและปรับความสมดุลของเลือดและพลังชี่ภายในร่างกาย

  • ภาวะชี่พร่อง –เลือดพร่อง

พลังชี่คือพลังงานขนาดเล็กที่ทรงอานุภาพและมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา อยู่ในทุกอณูของร่างกายและเป็นพลังงานขับเคลื่อนให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนเลือดทำหน้าที่หล่อเลี้ยงอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย หากพลังชี่และเลือดในร่างกายสมบูรณ์ก็จะทำให้อวัยวะต่างๆ แข็งแรง สมดุลคึกคัก มีเรี่ยวแรง มีความอบอุ่นและมีชีวิตชีวา แต่ถ้าชี่และเลือดในร่างกายพร่องลง ก็จะทำให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายลดน้อยถอยลง พร้อมทั้งส่งผลให้สารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองน้อยลงด้วย จึงทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ หลับไม่สนิทและฝันบ่อย ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง เสียงค่อยไม่อยากพูดคุย เหงื่อออกง่าย ง่วงเหงาหาวนอนบ่อย รู้สึกสมองล้า ขาดสมาธิ หน้าตาซีดเซียว ไม่มีเลือดฝาด ใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าเย็นหรือเหน็บชา ภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นหวัดง่ายร่วมด้วย อาการนอนไม่หลับจากภาวะชี่พร่อง-เลือดพร่องมักจะบำบัดด้วยวิธีการบำรุงชี่-บำรุงเลือด

อาการหลับยาก หลับไม่ลึก ตื่นบ่อย ตื่นง่าย ฝันบ่อยและอาการอื่นๆ ของนอนไม่ทลับจะค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด ระยะเวลาการรักษาอาจไม่เท่ากันในแต่ละคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุ ความรุนแรงของอาการและระยะเวลาที่เรื้อรัง การแพทย์จีนสมัยใหม่ และนวัตกรรมสมุนไพรจีนเอินเวย์ช่วยคุณได้ ปรึกษาทีมแพทย์จีน เภสัชกร หรือผู้เชี่ยวชาญของเอินเวย์ (Enwei) ได้ที่สายด่วนสุขภาพเอินเวย์ 02-751-4399 หรือไอดีไลน์ @enwei

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

ปรึกษาแพทย์จีน
ปรึกษาแพทย์จีน
Scroll to Top